วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

ผลไม้ลดความอ้ว
 ผลไม้รสเปรี้ยวใครที่กำลังควบคุมน้ำหนัก แต่ปฎิเสธการไปงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ไม่มีอาหารไขมันต่ำอยู่ในเมนูไม่ได้ ลองสั่งน้ำมะนาวคั้นสดมาจิบหรือส้มสดฝานแล้วสัก 4-5 ชิ้น มากินเสริมบ้าง เพราะกรดธรรมชาติจากผลไม้เหล่านี้จะช่วยย่อยไขมันและช่วยให้ร่างกายย่อยอาหารดีขึ้น


     กล้วย  ผลไม้เบสิกๆ แบบนี้ ใครๆ ก็รู้ว่ามีประโยชน์มากมาย แต่เชื่อหรือไม่ว่า กล้วยสามารถช่วยล้างลำไส้ได้เป็นอย่างดี เพราะอุดมไปด้วยธาตุโปแตสเซียมและวิตามินซี และยังให้พลังงานสูง ดังนั้นควรกินกล้วยให้ได้วันละ 1 ลูกเป็นประจำทุกวัน



      สับปะรด  มีเอนไซม์โปรตีนสูง เอนไซม์ตัวนี้จะช่วยการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ และช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น เชื่อกันว่าสับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆ ที่สึกหรอช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อ และช่วยกำจัดน้ำมูก




    แตงโม  มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะ ลดความดันเลือดสูง ทำให้สบายท้อง น้ำคั้นจากเปลือกของแตงโมและเมล็ด หากดื่มก่อนกินเนื้อแตงโมในมื้ออาหารสักครึ่งชั่วโมงจะทำให้คุณได้ประโยชน์สุงสุด เนื่องจากเปลือกของมันอุดมด้วยคลอโรฟิลล์ และเมล็ดอุดมด้วยวิตามิน   น้ำแครนเบรอรี่คั้น สำหรับผู้ที่มีอาการติดเชื้อที่ท่อปัสสาวะง่าย แนะน้ำให้ดื่มน้ำแครนเบอรี่คั้น 1 แก้วทุกวัน เพราะสารพฤกษ-เคมีที่อยู่ในผลไม้ชนิดนี้จะช่วยป้องกันอาการติดเชื้อที่ไม่พึงปรารถนาต่างๆ ได้ คุณอาจจะผสมน้ำแครนเบอรี่คั้นกับเครื่องดื่มแก้วโปรดเพื่อให้ได้ค็อกเทลแสนอร่อย หรือเป็นเครื่องดื่มเรียกน้ำย่อยก่อนอาหารก็ได้








     มะละกอ / มะม่วง  มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่มะม่วงมีสารสำคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อย ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อ ปาเปนซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร ดังนั้นมันจึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัว ได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกับโปรเมลิน ทั้งมะละกอและมะม่วงดีสำหรับทำความสะอาดและช่วยย่อยอาหาร เชื่อกันว่ายังช่วยลดอาการ ซึมเศร้าได้อีกด้วย





     องุ่น  เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้ และไตโดยเฉพาะ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่ออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆ ในร่างกาย องุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใข้ได้ง่าย อุดมไปด้วยเกลือแร่ ดังนั้น ช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ ในร่างกาย 

แอปเปิ้ล...ราชาแห่งผลไม้ลดน้ำหนัก


     การจำกัดปริมาณอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักนั้น เป็นเรื่องยากสำหรับคุณผู้หญิง เพราะไหนจะต้องทนต่อความหิวจนกว่าจะผอม แต่พอผอมสมใจกลับโดนทักว่าทำไมดูซีดเซียว ไม่สดชื่น อวบอั๋นเหมือนตอนก่อนลดน้ำหนัก
     การรับประทานผลไม้จึงเป็นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งการลดน้ำหนัก และการมีสุขภาพที่สดใส เพราะผลไม้ประกอบไปด้วยเส้นใยอาหาร (Fiber) ที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องมีน้ำตาลธรรมชาติที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว และนำไปใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ ผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอีกนับไม่ถ้วน ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ไม่ทรุดโทรม จึงเหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักเป็นที่สุด


     เมื่อถามคนใกล้ตัวว่า "อยากลดน้ำหนักจะทานผลไม้อะไรดี?" เชื่อว่าคงได้คำตอบกว่าครึ่งเป็นผลไม้รูปร่างอวบอัดที่ชื่อว่า "แอปเปิ้ล" แน่ ๆ เพราะแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่มีสีสันชวนรับประทาน เนื้อสัมผัสกรอบ รสชาติอร่อย กลิ่นหอม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หาทานได้ง่าย ราคาไม่แพง และที่สำคัญคือไม่ทำให้อ้วน แอปเปิ้ลจึงได้ชื่อว่าเป็น "ราชาแห่งผลไม้ลดน้ำหนัก"


   กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล ร่างกายแข็งแรง


     แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินซีเป็นหลัก ซึ่งปริมาณวิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด

      พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน


      เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง


       นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ


    แอปเปิ้ลเขียว หรือแอปเปิ้ลแดง ที่มีประโยชน์มากกว่ากัน
       เมื่อวิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง พบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ ปริมาณของสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์นั่นเอง


   ดื่มน้ำแอปเปิ้ล ก็ได้ประโยชน์เท่ากินทั้งลูก?


       จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าประโยชน์ของแอปเปิ้ลมาจากองค์ประกอบ 3 ตัวด้วยกันคือ จากเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากบริเวณเปลือก และจากน้ำตาลฟรักโทสที่มีมากในเนื้อแอปเปิ้ล ดังนั้นหากต้องการดื่มน้ำแอปเปิ้ล ควรเลือกวิธีการปั่นทั้งผล โดยไม่ต้องปอกเปลือก เพราะหากใช้วิธีคั้นน้ำ จะทำให้ได้เฉพาะน้ำตาลและสารต้านอนุมูลอิสระอีกเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้อ้วนได้มากกว่าเดิม และไม่ได้รับประโยชน์ทั้งหมดจากแอปเปิ้ลอย่างครบถ้วน


   กินแอปเปิ้ลอย่างไรให้ได้ประโยชน์


      ในแง่โภชนาการ แอปเปิ้ลไม่ใช่ผลไม้ที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณสูงมากนัก เมื่อเทียบกับกล้วย ฝรั่งหรือส้ม แต่หากทานแอปเปิ้ลวันละ 2-4 ลูก โดยไม่ปอกเปลือกก็จะได้รับเส้นใยอาหารและสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่พอเหมาะ


       ในปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่และฆ่าเชื้อไวรัส ซึ่งหากต้องการจะรับประทานแอปเปิ้ลสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมน้ำหนักแล้ว ก็ควรต้องทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และผักผลไม้อื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย







Blythe (บลายธ์) ซินเดอเรลลาแห่งวงการตุ๊กตา



Blythe (อ่านว่า บลายธ์) เป็นตุ๊กตาเด็กผู้หญิงสูงสิบกว่านิ้วค่ะ ถือกำเนิดครั้งแรกในปี 1972 (คือ 37 ปีก่อน) โดยวางจำหน่ายครั้งแรกในนามบริษัท Kenner ความที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น (น่าจะตรงหน้าผาก กว้างใหญ่ไพศาลและตากลมโต ปากนิดจมูกหน่อย) และเป็นที่ถูกใจเนื่องจากสามารถกลอกตาไปมาและกะพริบตาได้เมื่อดึงเชือกที่หลัง ทำให้ได้รับความนิยมพอสมควร แต่อย่างไรก็ตาม บลายธ์ไม่ค่อยประสบความสำเร็จด้านยอดขายนัก จึงจำเป็นต้องหยุดการผลิตลงในปีนั้นเอง
ห้าปีต่อมา "จีน่า กาเรน" โปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์คนหนึ่งมีเพื่อนทักว่าหน้าเธอเหมือนบลายธ์เลยนะ เธอดีใจมากและหิ้วบลายธ์ไปท่องเที่ยวและทำงานด้วย พร้อมทั้งชักภาพบลายธ์กับสถานที่ต่างๆ รอบโลก จนกระทั่งในปี 1999 จีน่าได้พบกับ "จุนโกะ หว่อง" แห่ง Parco ห้างสรรพสินค้าชื่อดังในญี่ปุ่น จุนโกะเสนอโปรเจ็คต์ให้นำบลายธ์มาปรากฏโฉมในแคมเปญคริสต์มาสปี 2000 ของห้างสรรพสินค้า ซึ่งทาง Parco ชอบไอเดียนี้และยินดีให้ทำโฆษณา 15 วินาที ทางโทรทัศน์สำหรับแคมเปญ
โฆษณาทาง TVCF นี้จึงกลายมาเป็นตำนานบทที่หนึ่ง ของการเปิดตัวบลายธ์สู่สายตาชาวญี่ปุ่น
ความสำเร็จของโฆษณาสั้นๆ ทำให้จีน่าตัดสินใจพิมพ์สมุดรวมภาพถ่ายบลายธ์ออกมา ชื่อว่า "This is Blythe" ซึ่งรวบรวมภาพที่เธอเดินทางไปทั่วโลกพร้อมน้องบลายธ์ของเธอ ความดังของบลายธ์ทำให้ห้าง Parco ตัดสินใจใช้ตุ๊กตาสาวน้อยหัวโตตัวนี้ เป็นพรีเซนเตอร์ต่อเนื่อง เพราะแม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน คนก็ยังพูดถึงโฆษณาช่วงคริสต์มาสอยู่ไม่สร่าง และแล้วน้องบลายธ์จึงโลดแล่นอยู่บนจอจนถึงฤดูใบไม้ผลิปี 2001 และได้รับเลือกเป็น image model ของห้าง Parco ในที่สุด
น้องบลายธ์ยังโด่งดังไม่หยุดเมื่อห้าง Parco จับมือกับ Takara  ผู้ผลิตของเล่นเด็กยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่น ผลิต "Neo Blythe" (นีโอ  บลายธ์) ออกมา รุ่นแรกสุดคือ Parco Limited เปิดจำหน่ายครั้งแรกในงานแสดงภาพถ่ายบลายธ์ของจีน่าที่ห้าง Parco นั่นเอง เชื่อไหมคะว่ามีแฟนๆ น้องบลายธ์ต่อคิวรอซื้อเธอที่หน้าห้าง 1 วันก่อนเปิดจำหน่าย!! เรียกว่ากินนอนกันตรงนั้นเลย และน้องบลายธ์ก็ขายหมดเกลี้ยงในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง

ความน่ารักของบลายธ์ทำให้แฟนๆ อยากออกแบบชุดให้เธอจนกลายเป็นงานประกวดย่อมๆ เหล่าดีไซเนอร์มืออาชีพหลายคน   ก็เต็มใจตัดชุดในคอลเลคชั่นล่าสุดขนาดพิเศษให้บลายธ์ ส่งผลให้มีรุ่นใหม่ๆ ออกมาพร้อมแฟชั่นอินเทรนด์ เรียกว่าดังทั้งตุ๊กตาทั้งเสื้อผ้าจนกระทั่งเดือนมีนาคม 2002 บลายธ์ได้กลายเป็นนางแบบประจำของนิตยสาร Vogue Nippon เธอสวมชุดจากดีไซเนอร์ชั้นนำที่บรรจงตัดขนาดบลายธ์ (สูง 12 นิ้ว) ให้โดยเฉพาะ และมีการนำบลายธ์สวมชุดแบรนด์เนมเหล่านี้มาประมูลเพื่อหาเงินเข้ากองทุน UNICEF ด้วยค่ะ
เพียงแค่ปีแรกของการเปิดตัว น้องบลายธ์ก็กลายเป็นยิ่งกว่าซินเดอเรลลาที่สาวๆ ทุกคนใฝ่ฝัน เธอเบิกทางด้วยการถ่ายแบบเป็นพรีเซนเตอร์ เป็นอิเมจโมเดล และสุดท้ายคือ ถ่ายแฟชั่นลงนิตยสาร แถมยังมีส่วนร่วมในงานการกุศลด้วย แต่ความโด่งดังของเธอยังไม่หมดเท่านี้ค่ะ
Blythe ซินเดอเรลลาแห่งวงการตุ๊กตา
ปี 2002 ในวันเกิดครบรอบ 1 ปีของเธอ งานแฟชั่นโชว์ในญี่ปุ่นซึ่งรวม 14 แบรนด์ดังร่วมแสดงได้จัดงานฉลองวันเกิดบลายธ์ผ่านการจัดนิทรรศการหลากหลายสถานที่ในญี่ปุ่น มีทั้งภาพถ่ายบลายธ์ของจีน่าผู้ถ่ายภาพบลายธ์จนโด่งดัง จนกระทั่งโชว์ตุ๊กตาบลายธ์รุ่นคลาสสิคมากมายรวมถึงบลายธ์สวมชุดที่ใช้ในงานแฟชั่นโชว์ปีนั้นด้วย ความเป็นนางงามอย่างแท้จริงของบลายธ์ปรากฏ เมื่อมีการประกาศว่า รายได้จากการประมูลบลายธ์ทั้ง 35 ตัว ที่จัดแสดงครั้งนั้นมอบให้มูลนิธิเช่นเดิม ตอนนี้เพิ่งสังเกตว่ามีตุ๊กตารุ่นเล็กออกมาคู่กันด้วยค่ะ"Petite Blythe" ด้วยความสูงแค่ 1 ใน 3 ของน้อง Blythe จึงทำให้มีข้อจำกัดด้านความละเอียดของชุดพอสมควร อย่างไรก็ตาม ราคาที่หารสามก็ทำให้แฟนๆ หลายคนเลือกซื้อมาเป็นเจ้าของได้สะดวกใจมากขึ้นค่ะ
Blytheในเดือนธันวาคมของปี 2002 บลายธ์ยังดังจนฉุดไม่อยู่เมื่อมีการจัดประกวดภาพถ่ายบลายธ์ขึ้น โดยประกวดใน CWC แกลเลอรี่ในโตเกียวซึ่งมีบรรณาธิการแฟชั่นจาก Vogue Nippon และนักเขียนการ์ตูนชื่อดัง "ไอ ยาซาว่า" (ผู้สร้าง Paradise Kiss ที่มีแต่แฟชั่นงามๆ ทั้งเรื่อง และ Nana ที่กลายมาเป็นภาพยนตร์โด่งดัง) รวมถึงเหล่าผู้มีส่วนร่วมในการถือกำเนิดบลายธ์เป็นคณะกรรมการ...อะไรจะขนาดนั้น
จนกระทั่งวันเกิดสองขวบของบลายธ์ในปี 2003 เหล่าแฟชั่นแบรนด์ก็ยังคงตัดเย็บชุดขนาดพิเศษสำหรับตุ๊กตา 44 ตัว ให้จัดแสดงเช่นเดิม ปีนั้นเป็นช่วง Healthy Boom อะไรก็เป็นกีฬาไปหมด น้องบลายธ์จึงออกรุ่นจำกัดจำนวน Courtney Tez by NIKE ออกแบบโดยเจ้าแห่งสปอร์ตแฟชั่นไนกี้เป็นแนวสปอร์ตเกิร์ลอินเทรนด์สุดขีดค่ะ
และแล้วในวันเกิด 3 ขวบของบลายธ์ เรื่องเศร้าจากเหตุการณ์สึนามิ ทำให้เธอปรากฏตัวในงานแฟชั่นโชว์เจ้าเก่าด้วยธีม "อาร์ตแอทแทค!" (Art Atack!) รายได้จากการประมูลบลายธ์ในชุดแฟชั่นสุดหรูกว่า 70 ตัว บริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากสึนามิทั้งหมดเลยค่ะ
ความเป็นซุปเปอร์สตาร์ของเธอ ทำให้น้องบลายธ์ต้องเดินสาย "Doll Tour" ไปทั่วญี่ปุ่น และเมื่อชาวโลกร่ำร้องถึงเธอ น้องบลายธ์ก็จำต้องเดินทางไปทัวร์ทั่วโลกไกลถึงสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ระหว่างที่เธอกำลังเดินสายอย่างขะมักเขม้น ในญี่ปุ่นก็ตีพิมพ์หนังสือรวมภาพของเธอออกมามากมาย และในที่สุด...จุดสูงสุดของเหล่าสาวกแฟชั่นก็เปิดประตูต้อนรับน้องบลายธ์เมื่อเธอได้เปิดตัวในงาน "ปารีสแฟชั่นวีค" ในปี 2006!! งานที่ถือเป็นสุดยอดแฟชั่นโชว์จากทั่วโลกค่ะ!! ในงานนี้นางแบบจะสวมชุดและถือบลายธ์ที่สวมชุดแบบเดียวกันออกมาด้วย มุขอุ้มบลายธ์นี้  โด่งดังจนงานโตเกียวแฟชั่นโชว์ปีนั้นขอเก็บไอเดียไปใช้บ้าง และหลังงานนี้น้องบลายธ์เลยได้โชว์ตัวถาวรอยู่ในแกลอรี่ลาฟาแยตที่ปารีสเลยค่ะ
ในเมืองไทยเองทราบว่า มีกลุ่มคนรักบลายธ์อยู่พอสมควรเลยค่ะ มีร้านค้า  ที่จำหน่ายบลายธ์และร้านค้าออนไลน์อยู่บ้าง และดาราสาวไทยคนหนึ่งชื่นชอบบลายธ์เนื่องจากหน้าคล้ายเธอด้วยค่ะ ทายสิคะว่าใคร...ให้เวลาคิด10 วินาที...หมดเวลาแล้วค่ะ! เธอคือ คุณชมพู่ อารยา ค่ะ (เหมือนจริงๆ) สำหรับสาวๆ ที่ชื่นชอบแฟชั่นสุดเก๋แต่จะหามาปรุงแต่งตัวเองก็แพงเกินงบฯไปหน่อย ลองหันมาแต่งตัวให้น้องบลายธ์บ้างก็สนุกไปอีกแบบนะคะ เพียงแต่ต้องระวังราคาแสนแพงของพวกเธอหน่อยค่ะ ราคาตัวละ 3-4 พันบาท สำหรับ Neo Blythe รุ่นธรรมดาเลยค่ะ รุ่นพิเศษจำกัดจำนวนอาจราคาพุ่งขึ้นไปถึงหมื่นกว่าบาทเลยทีเดียว

BlytheBlythe

BlytheBlythe

Blythe & LOMOBlythe & LOMO


ประวัติของหนูลิกกะจัง
ลิกกะจัง
ฝรั่งอเมริกันมีตุ๊กตา "บาร์บี้" ส่วนทางญี่ปุ่นมี "ลิกกะจัง"


ตุ๊กตาลิกกะจังเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมคลั่งความน่ารักของญี่ปุ่นที่เรียกว่า "คาวาอี้"
แจ้งเกิดอย่างเป็นทางการในปี 2510 โดยบริษัททาคาระ ตุ๊กตามีชื่อเต็มว่า ลิกกะ คายามะ สร้างสรรค์โดยนักเขียนการ์ตูน นางมิยาโกะ มากิ ผู้ออกแบบตั้งใจให้ตุ๊กตามีรูปร่างคล้ายคนญี่ปุ่นมากกว่าฝรั่ง

ในปี 2549 ทาคาระทำยอดขายจากลิกกะจังแล้วกว่า 53 ล้านตัว
นับจากปี 2510 เด็กสาวญี่ปุ่นได้สนุกสนานกับการแต่งตัวตุ๊กตาลิกกะจัง ที่มีของเล่นอื่นๆ และเพื่อนลิกกะจังก็ถูกผลิตเพิ่มเติมออกมา
"ผู้หญิงที่อยู่ในช่วงวัย 30 และ 40 เป็นรุ่นที่สนุกกับการเล่นลิกกะจัง และตอนนี้หญิงวัยนี้คือผู้มีกำลังซื้อสูงสุดในสังคม การจัดนิทรรศการนี้ก็เพื่อเอาใจคุณผู้หญิงกลุ่มนี้ แต่ขณะเดียวกันก็ดึงดูดสาวๆ ในวัย 20 ซึ่งเป็นคนรุ่นต่อมาที่เกาะกระแสของรุ่นพี่ด้วย" นาโอโกะ คาเม เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ห้างเซบู ในกรุงโตเกียว ที่จัดนิทรรศการลิกกะจัง กล่าว
"หากย้อนดูแฟชั่นของลิกกะจัง อย่างเช่นรุ่นทวิกกี้ จะเห็นได้ว่า เธอเป็นดาวแห่งวงการแฟชั่นชั้นสูงเลยที
เดียว

Licca-Chan


Licca

licca


ประวัติตุ๊กตา รัสเซีย " แม่ลูกดก "




แม่สาวที่มีลูกเล็กๆ ซ้อนซ่อนอยู่เป็นพรวน อันเป็นที่มาของชื่อ "แม่ลูกดก" เธอมีนามตามภาษารัสเซียอันเป็นบ้านเกิดว่า "มาตรีออชคา (Matryoshka )" ซึ่งแผลงมาจากชื่อสตรีภาษารัสเซีย "มาตรีโอนา" โดยที่การใส่ตุ๊กตาตัวเล็กซ้อนลงไปหลายๆ ตัวนั้น สำหรับรัสเซีย เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และความมีชีวิตยืนยาว นับเป็นเครื่องหมายอันเป็นมงคล

ตุ๊กตาแม่ลูกดกชุดหนึ่ง ประกอบด้วยตุ๊กตาไม้หลายตัวเรียงซ้อนกันอยู่ข้างใน แต่ละตัวประกอบด้วย         2 ส่วน คือ ส่วนบนและส่วนล่าง นำมาประกบกันได้สนิทตามร่องที่เซาะเอาไว้ ทุกตัวมีโพรงข้างในเพื่อให้อีกตัวและอีกตัวที่เล็กกว่าซ้อนไปเรื่อยๆ เว้นแต่ตัวสุดท้าย ซึ่งมีขนาดเล็กสุด จะเป็นตุ๊กตาเต็มตัวและตันเพียงชิ้นเดียว แม่ลูกดกชุดหนึ่งมีตุ๊กตาซ้อนข้างในกี่ตัวก็ได้ ถ้ามีจำนวนมาก ตุ๊กตาตัวใหญ่สุดที่อยู่นอกสุด จะต้องมีขนาดใหญ่มากด้วย และทุกตัวจะมีรูปร่างเหมือนกันหมด คือ คล้ายกระบอก โป่งตรงกลาง ด้านบนโค้งมน ส่วนฐานเรียบ ไม่มีมือหรือส่วนใดยื่นออกมา ใช้สีวาดเป็นหน้าเป็นตาเป็นตัวทั้งหมดแต่ละตัวในชุดมีใบหน้าและเสื้อผ้าเหมือนกัน ทั้งเคลือบเงาสวยงาม
กำเนิดของแม่ลูกดก เชื่อว่าเมื่อราว พ.ศ.2430 พระชาวรัสเซีย      (บ้างว่าเขาเป็นนายช่าง) นำวิชาทำตุ๊กตาไม้ไปจากเกาะฮอนชูของญี่ปุ่น และเมื่อมาถึงรัสเซียก็ผสมผสานรูปแบบศิลปะท้องถิ่นเข้าไป คือแนวคิดในการซ้อนตุ๊กตาที่คุ้นเคยกันดีในรัสเซีย ประยุกต์เข้ากับงานประดิษฐ์แอปเปิ้ลไม้และไข่อีสเตอร์ จากนั้นตั้งชื่อรัสเซียนไปเนียนๆ ว่ามาตรีออชคา

พ.ศ.2434 ศิลปินคนสำคัญ เซอร์เกย์ มาลุยติน ได้ร่างแบบตุ๊กตาแม่ลูกดกขึ้นเป็นครั้งแรก และหลังจากแก้ไขหลายครั้ง สุดท้ายได้รูปแบบที่ตกลงกันคือ วาดเป็นเด็กหญิงหน้ากลมแป้น ตาใสแจ๋ว สวมชุดพื้นเมืองที่เรียกว่า ซาราฟัน (ชุดยาวถึงพื้นมีสายรั้งสองข้าง) และคลุมศีรษะด้วยผ้าสีสดใส แล้วยังมีตุ๊กตาที่เหมือนกันแต่ตัวเล็กกว่าใส่ไว้ข้างในด้วย แต่ตุ๊กตาข้างในแต่งตัวไม่เหมือนกัน กล่าวคือ สวมโคโซโวรอตคัส (กระโปรงแบบรัสเซีย) และเสื้อเชิ้ตปอดดิออฟคัส (เสื้อคลุมยาวถึงเอวของผู้ชาย) และผูกผ้ากันเปื้อน จากนั้นจึงให้ช่างแกะสลักชื่อ วาสิลี่ ซเวิสด๊าชกิน ผลิตขึ้น

กระทั่ง พ.ศ.2443 มารียา มามอนโตวา ภรรยาเจ้าของโรงงานที่มาลุยตินและซเวิสด๊าชกินทำงานให้      นำตุ๊กตานั้นไปจัดแสดงในงานสินค้าที่กรุงปารีส และได้รับรางวัลเหรียญทองแดง และไม่ช้าจากนั้นก็มีการผลิตตุ๊กตาแม่ลูกดกในรัสเซียอย่างแพร่หลาย เริ่มจากกรุงมอสโก ไปสู่หลายท้องที่ และก่อเกิดหลากหลายรูปแบบตามมา

จวบจนยุคการพัฒนาเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของรัสเซียครั้งใหญ่ เมื่อ 100 กว่าปีก่อน เกิดความสนใจที่จะรักษาธรรมเนียมพื้นบ้านมากขึ้น ทั้งฟื้นฟูวัฒนธรรม และรวบรวมผู้เชี่ยวชาญศิลปะพื้นบ้านต่างๆ และเพื่ออนุรักษ์ความทรงจำเก่าๆ เกี่ยวกับท้องถิ่นรัสเซีย จึงมีการสร้างห้องทำงานช่างศิลปะขึ้นใกล้กับกรุงมอสโก ศิลปะพื้นบ้านต่างๆ จำพวกของเล่นและตุ๊กตา รวมถึงแม่ลูกดก ถูกรวบรวมมาจากพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อศึกษาและผลิตสืบไป

เมื่อแรกเริ่มเดิมมี หน้าตาของตุ๊กตาแม่ลูกดกทำเป็นหญิงชาวนา แต่งกายแบบดั้งเดิม มีผ้าคลุมศีรษะ เหมือนที่คุ้นตาในภาพวาดเก่าแก่ แต่ในภายหลังการรังสรรค์แตกแขนง มาตรีออชคามีทั้งแบบที่เป็นเทพธิดา นางฟ้า ตัวการ์ตูน ดอกไม้ อื่นๆ มากมาย รวมทั้งที่หน้าตาล้อเลียนคนดัง รวมถึงกลายพันธุ์เป็นพ่อลูกดก คือเขียนเป็นผู้ชายก็มี และปัจจุบัน นอกจากในรัสเซีย ตุ๊กตาแม่ลูกดกยังเป็นของที่ระลึกจาก ประเทศอื่นๆ ที่แยกจากโซเวียตเดิม เช่น อุซเบกิสถาน คาซัคสถาน ซึ่งผลิตมาตรีออชคาแพร่หลายเช่นกัน



ประวัติตุ๊กตาถัก Amigurumi 
Amigurumi (編み包み ) ชื่อนี้ใช้เรียกการถักโครเชต์หรือนิตติ้ง เป็นตุ๊กตาสัตว์ยัดใยขนาดเล็กของประเทศญี่ปุ่นค่ะ คำว่า Amigurumi นี้ มีรากศัพท์ของญี่ปุ่น มาจากคำว่า ami ที่หมายถึง โครเชต์หรือนิตติ้ง ส่วน nuigurumi หมายถึง ตุ๊กตายัดใย
Amigurumi  นอกจากจะใช้เรียกตุ๊กตายัดใยนุ่มนิ่มน่ารัก (เช่น หมี กระต่าย แมว สุนัข เป็นต้นค่ะ)แล้ว ก็ยังรวมถึงสิ่งของหรืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ที่เกิดจากการถักโครเชต์หรือนิตติ้งด้วย เช่นต้นไม้ ดอกไม้ หนังสือ เป็นต้น
Amigurumi สามารถเกิดจากการถักโครเชต์ หรือว่านิตติ้งก็ได้ค่ะ เรียกได้หมด และปัจจุบัน Amigurumi เป็นที่นิยมกันมาก และสามารถพบเห็นได้โดยทั่ว ๆ ไปเลยค่ะ ของน่ารักขนาดนี้ใคร ๆ ก็อยากถักเป็นค่ะ^^
Amigurumi เป็นการถักโครเชต์หรือนิตติ้งจากไหมพรมม้วน โดยรูปแบบของ pattern Amigurumi  ลักษณะจะเป็นแบบก้นหอยดังรูปค่ะ และมีสัญลักษณ์เขียนโดยรอบก้นหอย วงเป็นชั้น ๆ ซึ่งบางคนอาจจะตาลายได้ค่ะ แต่ในความเห็นส่วนตัวคิดว่า ดูง่ายกว่าของฝรั่งหน่อยนะคะ 
การถักโครเชต์สไตล์ญี่ป่น หรือ Amigurumi เป็นการถักออกมาเป็นส่วน ๆ เพื่อที่จะประกอบกันทีหลัง เช่น แขน ขา หรือหู แต่บางอย่างก็อาจไม่มีแขนขา อาจจะมีเพียงแค่หัว หรือตัว ก็น่ารักแล้วค่ะ ^^
ส่วนบทความต่อไป จะเป็นสัญลักษณ์หรือโค๊ตหลัก ๆ ที่ใช้สำหรับการถักตุ๊กตาสไตล์ญี่ปุ่หรือAmigurumi นะคะ ในที่นี้จะเป็นการถักตุ๊กตาโครเชต์ค่ะ 
เงื่อนไขของการถักตุ๊กตา Amigurumi  นี้มีเพียงไม่กี่ข้อเท่านั้นนะคะ
- ต้องมีอุปกรณ์ อันนี้ถ้ามะมีอุปกรณ์ หรือมีไม่ครบ ก็จะไม่ได้น้องตุ๊กตา 1 ตัวแน่นอนเลยค่ะ
- ต้องมีความอยากถัก หรือใจรัก ถึงแม้บางคนจะถักไม่เป็นเลย หรือไม่เคยแตะต้องเข็มมาก่อนแต่ถ้าอยากถัก ก็สามารถถักเป็นกันได้ทุกคนค่ะ
- ต้องมีความอดทน และเวลา ประมาณว่า ส่วนใหญ่จะต้องถักส่วนประกอบมากกว่า 1 ชิ้น แล้วมาประกอบกัน ซึ่งตุ๊กตาโครเชต์นั้นไม่เหมือนตุ๊กตาผ้า ตรงที่ต้องเริ่มจากไหมพรมเป็นเส้น ถักทอไปเรื่อย ๆ จนเป็นชิ้นส่วน ส่วนตุ๊กตาผ้า ก็แค่ตัดผ้าตามแบบ แล้วมาเย็บประกอบกันค่ะ ดังนั้นความยากและระยะเวลาที่ใช้ทำจะต่างกันมากนะคะ สำคัญมากค่ะ^^
ส่วนใหญ่การถักตุ๊กตาโครเชต์ อุปกรณ์จะลงทุนไม่ค่อยสูง แต่ต้นทุนส่วนใหญ่จะไปตกที่ค่าแรงและค่าไอเดียแทนค่ะ จะเห็นได้ว่า เงื่อนไขขอแค่มีใจอยากถักและความอดทน น้องตุ๊กตาก็จะกำเนิดเกิดขึ้นมาจากฝีมือของเพื่อน ๆ ได้แน่นอนนะคะ